วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

     ใครที่มีผิวค่อนข้างมันหรือมีผิวผสมมักกังวลใจกับใบหน้าที่มัน เยิ้มอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะเพราะไม่ว่าจะ หน้าร้อน หน้าฝน หรือแม้แต่หน้าหนาว หน้ามันๆ ก็ยังตามมาหลอกลอนอยู่ตลอดเวลา 
                                                                         

       คงมีอีกหลายคนที่ลังเลว่าจะใช้ยาของหมอดี หรือใช้สมุนไพร
จากธรรมชาติดีถ้าเลือกใช้สมุนไพรจากธรรมชาติ สิ่งที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ ต้องใจเย็นๆ ค่ะ เพราะไม่สามารถเห็นผลเร็วเหมือนการใช้ยาที่ทำจากสารเคมี แต่ข้อดีคือไม่ต้องกลัวสารตกค้าง
       สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ เรามีสูตรพอกหน้าจากมะละกอมาฝาก แต่ก่อนอื่นไปรู้จักสรรพคุณของมะละกอกันก่อนค่ะเพราะตามตำราแพทย์แผนไทย 
มะละกอมีสรรพคุณแก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ถ่ายพยาธิ 
ขับประจำเดือน  แก้โรคระดู แก้ธาตุไม่ปกติ แก้โรงกระเพาะอาหาร แก้ร้อนใน เป็นยาบำรุงธาตุ ใครที่ถูกตะขาบกัดให้กรีดลูกมะละกอดิบเอายางที่ไหลซึมออกมานั้น ป้ายลงที่แผลซึ่งถูกตะขาบกัดอาการปวดจะลดลง นอกจากนั้นยังสามารถนำลูกมะละกอมาต้มเอาน้ำดื่มแก้เมาสารหนู หรือจะใช้แก้อาการปวดฟันโดยนำเปลือกต้นมะละกอกับเกลือทะเลใส่หม้อดินต้ม น้ำพอควร เคี่ยวให้เดือดนานสักครู่หนึ่ง ใช้น้ำยาอมเวลาเช้าเย็น อาการปวดฟันจะดีขึ้นภายใน 3 วัน (สูตรนี้มีคำยืนยันจากผู้ที่เคยใช้บอกว่าได้ผลดีชะงัดนัก)

ทำไมมะละกอจึงช่วยบำรุงผิว

      นอกจากเราจะกินมะละกอสุก เพื่อทำให้ถ่ายคล่อง ไม่เป็นโรคริดสีดวงทวารหนักแล้ว ผลไม้ชนิดนี้ยังช่วยให้ สุขภาพดี เพราะอุดมไปด้วย
   - วิตามินซี ซ้ำยังช่วยบำรุงรักษาเส้นเลือดฝอยให้มีความแข็งแรง
   - มีสารช่วยทำให้รอยฟกช้ำดำเขียวจางหายไปได้
   - ช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซม และบำรุงรักษา ปรับสภาพผิวให้มีความสดใส เปล่งปลั่งและดูอ่อนกว่าวัย
   - ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจากรังสีอัลตราไวโอเลต
   - นักวิจัยค้นพบว่าในมะละกอมีสารเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก และยังช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้ผิวหนัง กระดูก เนื้อเยื่อ และฟันแข็งแรง รวมทั้งมีอีลาสตินช่วยในการทำงานของเอ็นและกระดูกอ่อน

       นอกจากมะละกอจะทำให้สุขภาพดีจากภายในแล้ว เรายังมีสูตรพอกหน้าจากมะละกอ  มาเอาใจหนุ่มๆสาวๆที่
อยากลดความมันบนใบหน้าด้วยค่ะขจัดความมัน ลบรอยด่างดำ นอกจากมะละกอจะมีจุดเด่นช่วยลดความมันบนใบหน้าได้แล้ว ยังช่วยลบรอยด่างดำได้ดีสามารถใช้ทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและนิ่มนวล

          1. สูตรมะละกอลบรอยด่างดำ
     บดมะละกอสุกให้ละเอียด พอกหน้าทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลบรอยด่างดำบนใบหน้า

         2. สูตรพอกหน้ามะละกอ-กล้วยหอม
     สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ

ส่วนผสม
     1. มะละกอสุกบด    3 ช้อนโต๊ะ
     2. กล้วยหอมบด     2 ช้อนโต๊ะ
     3. น้ำผึ้ง              1 ช้อนโต๊ะ
     4. น้ำมะนาว          1 ช้อนชา

วิธีทำ     ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ใส่กระปุกที่มีฝาปิด แช่เย็นไว้ให้เย็นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

       3. สูตรผิวเนียน  สูตรนี้ช่วยให้ผิวนุ่มเนียนน่าสัมผัสยิ่งขึ้น

ส่วนผสม
      1. มะละกอสุกบด  3 ช้อนโต๊ะ
      2. น้ำมันงา  3 ช้อนชา
      3. กลิ่นลาเวนเดอร์เล็กน้อย

วิธีทำ
1.ผสมทุกอย่งในถ้วยให้เข้ากันแล้วนำไปแช่ในน้ำร้อน ให้ส่วนผสมทั้งหมดพออุ่นๆ
2. นำไปพอกหน้า ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นๆ ปิดให้พอหมาดๆ   ปิดหน้าทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วล้างออก


ที่มา ชีวจิต

ผิวหน้าสวยด้วยใบเตย

ใบเตย 
          เป็นพืชพรรณชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์หลายอย่าง สามารถนำมาประ กอบอาหารก็ได้ หรือทำให้ผิวหน้าสวยก็ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้ผิวหน้าสวยด้วยใบเตยมาฝากกัน...

ส่วนผสม 
          ได้แก่ ใบเตย 3 ใบ และ น้ำสะอาด (เล็กน้อย)

วิธีทำ 
          คือ นำใบเตยมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับน้ำสะอาด จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน  โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที  แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด  จะทำให้รู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำอย่างนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่า ผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวหน้าที่สวยและเต่งตึง ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

Super Moon


วันนี้(12 มี.ค.2554) สำนักงานข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปรากฎการณ์ดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดใน รอบ 19 ปี กำลังจะอุบัติขึ้นในค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมนี้ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าใน ค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมที่จะถึงนี้ คนบนโลกจะได้เห็นปรากฎการณ์ ซูเปอร์มูนหรือดวงจันทร์ดวงใหญ่ เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่ดวงจันทร์จะโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 19 ปี
โดย คาดว่ามันจะโคจรห่างจากโลกเพียง 356,577 กิโลเมตรเท่านั้น จากปกติที่โคจรในระยะห่างเฉลี่ย 384,400 กิโลเมตร ประจวบเหมาะกับค่ำคืนนั้น ยังเป็นค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงอีกด้วย ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าว จะส่งผลให้คนบนโลกเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่กว่าดวงจันทร์ เต็มดวงที่เคยเห็นถึง 14% และดวงจันทร์ก็จะส่องสว่างกว่าค่ำคืนดวงจันทร์เต็มดวงทั่วไปถึง 30% นอกจากนี้ มันยังส่งผลให้โลกเกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าปกติ กล่าวคือ ระยะเวลาที่น้ำขึ้นก็ขึ้นสูงมาก ขณะที่เมื่อน้ำลง น้ำก็จะลดลงมากกว่าปกติเช่นกัน
ถึงแม้ว่าปรากฎการณ์ ซูเปอร์มูน จะทำให้ค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมเป็นค่ำคืนที่งดงามสว่างไสวกว่าทุกๆ คืนอย่างไร แต่ผู้คนในหลายพื้นที่ทั่วโลกกลับไม่อยากให้ค่ำคืนนั้นมาถึง ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกในระยะที่ใกล้ผิดปกติ แรงดึงดูดของมันอาจจะส่งผลให้เกิดหายนะบางอย่างขึ้นบนโลกเช่นกัน
โดยในขณะนี้ ประเด็นเรื่องดวงจันทร์ในคืน 19 มีนาคม กำลังถูกพูดถึงกันในวงกว้าง หลังจากมีข่าวลือออกมาว่า การที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าใกล้โลกครั้งนี้ อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหว พายุพัดถล่ม สึนามิ หรือภูเขาไฟระเบิดก็เป็นได้ เหมือนกับที่มันได้เคยเกิดขึ้นในค่ำคืนซูเปอร์มูนหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์พบว่า ใน ปี ค.ศ.1955, 1974, 1992 และ 2005 ได้เคยปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนมาแล้ว และในปีดังกล่าวก็มีภัยพิบัติ และสภาพอากาศที่เลวร้ายเกิดขึ้นบนโลกในช่วงที่เกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนพอดี
จากรายงานภัยพิบัติระบุว่า ในปี ค.ศ.1938 พายุเฮอริเคนได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับซูเปอร์มูนในปี ค.ศ.1955 ได้เกิดน้ำท่วมในฮันเตอร์วัลเลย์ ในออสเตรเลียในช่วงซูเปอร์มูนเช่นกัน และในปี ค.ศ.1974 ซูเปอร์มูนก็เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับพายุไซโคลนเทรซี่ ที่สร้างความเสียหายมหาศาลในเมืองดาร์วิน ออสเตรเลีย ส่วนในปี ค.ศ.2005 ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์มูนเพียงไม่กี่วัน ก็มีเหตุการณ์สึนามิเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย คร่าชีวิตผู้คนหลายหมื่นคนไปในช่วงเวลานั้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว ทำให้หลายคนเชื่อว่า มันมีความเป็นไปได้ที่การเกิดซูเปอร์มูนในสัปดาห์หน้านี้จะมาพร้อมกับภัยพิบัติบางอย่างเช่นกัน
นอกจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นไปได้ของการเกิดภัยพิบัติในช่วงซูเปอร์มูนมีมากขึ้นไปอีก นั่นคือ เคน ริง นักโหราศาสตร์เจ้าของฉายา มูนแมนที่พยากรณ์อากาศและการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ บนโลกด้วยดวงจันทร์ ได้ออกมาเตือนว่า ในช่วงค่ำคืนซูเปอร์มูนที่จะถึงนี้ อาจเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไครซท์เชิร์ช นิวซีแลนด์ขึ้นอีกครั้ง และอาจมีความรุนแรงมากกว่าเดิม โดย เคน ริง ได้ออกมาเปิดเผยคำทำนายดังกล่าว หลังจากที่เขาเคยโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ในวัน ที่ 14 กุมภาพันธ์ เพื่อเตือนว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น ในไครซท์เชิร์ช ระหว่างวันที่ 15-25 กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะวันที่ 18 ในเมืองไครซท์เชิร์ช หรืออาจคลาดเคลื่อนได้ประมาณ 3 วัน ซึ่งหลังจากเผยแพร่คำทำนายได้เพียง 1 สัปดาห์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ได้เกิดขึ้นจริงในเมืองไครซท์เชิร์ชตามคำทำนายของเขา โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
               อย่างไรก็ดี ด้านนายเดวิด ฮาร์แลนด์ นักประวัติศาสตร์อวกาศได้ออกมาเปิดเผยว่า ดวงจันทร์ไม่ได้มีอิทธิพลถึงขั้นที่จะทำให้โลกเกิดภัยพิบัติได้ขนาดนั้น มันจะส่งผลกระทบเพียงแค่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่าที่เคยเป็นเท่านั้น จะไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดแต่อย่างใด แต่หากเกิดภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ก็คงเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดซูเปอร์มูนเท่านั้น ไม่ได้มาจากอิทธิพลของดวงจันทร์อย่างแน่นอน
               ทั้งนี้ ดวงจันทร์มีระยะห่างจากโลกไม่เท่ากันในแต่ละคืน เพราะไม่ได้โคจรรอบโลกเป็นวงกลม ทำให้แต่ละเดือน จะมีช่วงที่ดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุด หรือที่เรียกว่า Perigee ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ใกล้โลกมากที่สุดในระยะห่างประ มาณ 363,104 กิโลเมตร และช่วงที่ดวงจันทร์โคจรห่างโลกมากที่สุด หรือ Apogee อยู่ที่ระยะห่างประมาณ 405,696 กิโลเมตร แต่ช่วงเวลาที่มันโคจรเข้า ใกล้โลกมากที่สุด และยังเป็นดวงจันทร์เต็มดวงด้วย จะมีให้เห็น 2-3 ปีต่อ 1 ครั้งเท่านั้น แต่ในปีนี้ ดวงจันทร์จะอยู่ในจุดที่ใกล้กว่าทุก ๆ ครั้ง ในรอบ 19 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ซูเปอร์มูนที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนวันที่ 19 มีนาคมนี้ จึงเป็นปรากฎการณ์ที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก
credit :http://www.chaoprayanews.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

อ่าวคุ้งกระเบน


อ่าวคุ้งกระเบน เป็นหาดต่อเนื่องกับหาดแหลมเสด็จ มีหาดทรายที่ขาวสะอาดตา บรรยากาศร่มรื่น พื้นที่ภายในอ่าวมีลักษณะเป็นชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารและที่เพาะพันธุ์ของบรรดาสัตว์น้ำเล็กๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา  ที่อ่าวคุ้งกระเบนยังเป็นที่ตั้งของ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีหน้าที่ศึกษาค้นคว้าและวิจัย เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดจันทบุรี โครงการหนึ่งที่ศูนย์ทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนที่สนใจเข้ามาศึกษาสภาพธรรมชาติ ก่อให้เกิดความเข้าใจระบบนิเวศในป่าชายเลน และรู้จักใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ
สะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เวลาเพียง 30-45 นาที บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 850 เมตร จะทำให้ได้รับความรู้ และความประทับใจในธรรมชาติ มีจุดสื่อความหมายธรรมชาติอยู่ตามบริเวณต่างๆสองข้างทาง ทำให้ทราบความสำคัญของป่าชายเลนว่านอกจากจะช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่งแล้วยังทำให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งทะเลได้อย่างยั่งยืน เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำ และแหล่งอาหารธรรมชาติ ตลอดจนแหล่งสมุนไพรสำหรับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบอีกด้วย
นอกจากนี้จะเข้าใจได้ว่าไม้หลากชนิดในป่าชายเลนเกื้อกูลกันอย่างไร และมีประโยชน์กับเราอย่างไร อย่างเช่น ลำพูทะเล ที่งอกได้ดีในดินปนทราย จะเป็นผู้สะสมดินเลนทะเลเพื่อเตรียมพื้นที่ให้ไม้อื่นได้งอกงามและก่อประโยชน์เป็นทอดๆต่อกันไป ไม้แสมขาว นอกจากทำเป็นฟืนได้ หากแก่นยังนำไปต้มกับแก่น แสมสาร (ขี้เหล็กป่า) ช่วยขับโลหิตเสียของสตรีได้ กระพี้ เป็นยาแก้พิษงู ควันที่เกิดจากการเผาไหม้ของ ต้นตาตุ่มทะเล ใช้รักษาโรคเรื้อนได้ดี ประสักดอกแดง ที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งลำต้น ฝักนำมาเชื่อมทานได้ เนื้อไม้แข็งใช้ทำฟืน เครื่องมือประมง หรือสร้างบ้าน และเปลือกนำมาย้อมหนังได้ ไม้โกงกาง นอกจากนำมาผลิตถ่านคุณภาพดีที่ให้ความร้อนสูงถึง 7,300 แคลอรี่ต่อกรัม คุนาน และมีขี้เถ้าน้อย ยังนำมาทำเยื่อกระดาษได้ เปลือกเมื่อนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องร่วง อาเจียน และเปลือกตำละเอียดนำมาพอกแผลสด ห้ามเลือดได้ดี ในป่าชายเลนแห่งนี้ยังมีไม้อีกหลายชนิดที่นำมาทำประโยชน์ได้อีกมหาศาล เป็นกฏของธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหมุนเวียนเป็น วัฏจักรเช่นนั้น ระบบนิเวศในอ่าวคุ้งกระเบนก็เช่นกัน การดำรงอยู่ของป่าชายเลน หมายถึงการดำรงอยู่ของคนจำนวนมากที่ต้องอาศัยป่าชายเลนเพื่อการมีชีวิตอยู่เช่นกัน ป่าชายเลนเป็นแหล่งเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์น้ำนานาชนิด เมื่อสัตว์น้ำเหล่านี้โตขึ้น และว่ายไปบริเวณทะเลนอก ชาวประมงก็ได้จับไปขายและสามารถดำรงชีพด้วยการทำประมงอย่างยั่งยืน ในช่วงเวลาน้ำลดชาวบ้านในละแวกนี้จะออกมาเก็บหาหอย รวมทั้งหอยนางรมขนาดเล็กเพื่อนำไปเลี้ยงต่อจนใหญ่จึงนำไปขาย ที่นี่มีแปลงสาธิตเลี้ยงหอยนางรมแบบแขวนที่ช่วยในการบำบัดน้ำเสีย โดยจะเลี้ยงขวางคลองน้ำทิ้ง เพื่อให้หอยนางรมดักจับกินแพลงตอนที่ปะปนมากับน้ำทิ้งจากบ่อเลี้ยงกุ้ง และปล่อยน้ำดีออกมากับน้ำทิ้งจากบ่อเลี้ยงกุ้ง เป็นการช่วยบำบัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติอีกทางหนึ่ง

ในอดีตอ่าวแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ด้วยหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร ที่หลบภัย วางไข่ และที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด รวมทั้ง พะยูน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินหญ้าทะเลเป็นอาหารก็เคยมีอยู่อย่างชุกชุม พะยูนในภาษาพื้นบ้านเรียกว่า หมูดุดหรือ ดุดบางคนเรียกว่า วัวทะเลเพราะการกินอาหารคล้ายวัวเล็มหญ้า มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เมื่อพะยูนติดอวนที่ดักไว้ในบริเวณแนวหญ้าทะเล และมันส่งเสียงร้อง ก็จะมีคนแล่นเรือออกไปที่ลงอวน แล้วพยายามกดหัวพะยูนให้สำลักน้ำ ทำให้มันเหนื่อยจากนั้นใช้เชือกมัดตัวพะยูน ลากเข้าฝั่ง ผูกไว้กับเสา คอยดูไม่ให้พะยูนตายจนกว่าจะมีคนมารับซื้อ ปัจจุบันอ่าวคุ้งกระเบนไม่มีหมูดุดอาศัยอยู่เลย แม้หญ้าทะเลก็เสื่อมโทรมไปมาก  ยังมีความรู้ ความงดงามจากธรรมชาติอีกมากมายที่จะได้รับจากสถานที่แห่งนี้ถ้าท่านตั้งใจจะไปสัมผัสอย่างแท้จริง

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

วัดเมืองเก่าแสนตุ่ม และโบราณสถานเขาโต๊ะโมะ

วัดเมืองเก่าแสนตุ่ม วัดเมืองเก่าแสนตุ่มตั้งอยู่หมู่ที่ 7 บ้านอีเร็ม ตำบลประณีต อยู่ห่างจาก ที่ว่าการอำเภอเขาสมิงประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทาง เริ่มจากทางแยกแสนตุ้งไปตามถนนจินตกานนท์ (แสนตุ้ง-บ่อไร่) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 1.5 จะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปบ้านตาพลาย อีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายบ้านนามะขาม บ้านอีเร็ม (ถนน รพช. หมายเลข 11001) ระยะทาง 9 กิโลเมตร จะถึงวัดเมืองเก่าแสนตุ่ม วัดนี้เป็นวัดที่มีความร่มรื่น ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ เหมาะแก่การพักผ่อน และการปฏิบัติธรรม ส่วนบริเวณวัดด้านทิศใต้เป็นที่ตั้งโบราณสถานเขาโต๊ะโมะ

ที่คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยก่อนพุทธกาล มีความเชื่อว่าใต้พื้นบริเวณโบราณสถานมีสมบัติเป็นแสนตุ่ม อันเป็นที่มาของชื่อวัดแสนตุ่ม โบราณสถานเขาโต๊ะโมะ มีลักษณะเป็นเนินดิน มีต้นไม้ปกคลุม มีแท่งหินวางอยู่เรียงราย หินเหล่านี้มีสีน้ำตาลเข้ม เป็นรูปเหลี่ยมตั้งแต่สี่เหลี่ยมถึงเก้าเหลี่ยม ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ถึง 150 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร ถึง 20 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 10 กิโลกรัมถึง 100 กิโลกรัม การวางเรียงซ้อนของหินคล้ายเทวสถาน หินบางก้อนเมื่อเคาะจะมีเสียงดังกังวานเหมือนเคาะระฆัง

ค่ายเนินวง

ค่ายเนินวง หรือค่ายรบโบราณ เป็นโบราณสถานที่อยู่ใกล้ตัวเมืองในเขต อ.เมือง จันทบุรี เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองจันทร์ และเป็นแหล่งโบราณคดี ที่มีสวนผลไม้ของชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ คือ สวนสละ ที่มีชื่อเสียงของจันทบุรี ที่เรียกกันว่า "สละเนินวง" เส้นทางที่จะไปยังค่ายเนินวงอยู่ในท้องที่ ตำบลบางกะจะ อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๖ กม. ไปในทิศทางเดียวกับจะไปอู่ต่อเรือพระเจ้าตาก ฯ (อู่ต่อเรือจะแยกไปซ้ายอีก ๑๐ กม.มีป้ายบอกไว้)
           ค่ายเนินวงมีประวัติดังนี้  สร้างเป็นป้อมรบ เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรับศึกญวนที่จะมาทางทะเล ซึ่งมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับลาว เป็นกบฎแล้วไปฝักใฝ่กับญวน จนทางไทยเราไม่ไว้ใจญวน ร.๓ จึงโปรดเกล้าให้สร้างค่ายเนินวงขึ้น เพราะทรงเห็นว่ามีชัยภูมิเหมาะ ที่จะทำการตั้งรับข้าศึกที่จะมาทางน้ำ ชัยภูมิอยู่บนที่สูงเหมาะในการตั้งรับ และใช้อาวุธยิงด้วยปืนใหญ่ ภายในเมืองใหม่นี้โปรด ฯ ให้มีศาลหลักเมือง คลังเก็บอาวุธ และ วัดโยธานิมิต (วัดนี้ยังมีพระจำพรรษา) ให้เป็นวัดประจำเมือง ได้ย้ายชุมชนจากบ้านลุ่มให้มาอยู่ยังบ้านเนินวง และในชุมชนนี้ประชาชนส่วนใหญ่คือ ข้าราชการ ไม่มีราษฎรเต็มใจมาอยู่เพราะขาดแคลนน้ำ จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้อพยพผู้คนกลับไปอยู่ในเมืองได้ดังเดิม ให้ค่ายเนินวงร้างไป แต่ปัจจุบันมีราษฎรอยู่อาศัยกันเต็ม ไม่กันดารน้ำ เป็นแหล่งปลูกสละที่มีชื่อเสียงคือ สละเนินวง
           สิ่งที่น่าสนใจ มีป้อมและแนวกำแพง พื้นที่ภายในกำแพงเมืองมีขนาด ๒๗๐ ไร่เศษ สร้างกำแพงสูง ๖ เมตร ล้อมรอบมีป้อม คู และประตูสี่ทิศ มีปืนใหญ่จุกช่องตามกำแพงเมือง ตั้งเรียงรายไปตามช่องใบเสมา ตั้งจังก้าพร้อมทำการยิง และเป็นปืนใหญ่ที่ขนาดกว้างปากลำกล้องน่าจะเกิน ๑๕๕ มม. และในปัจจุบันได้รับการบูรณะป้อม และแนวกำแพงให้อยู่ในลักษณะที่น่าไปชม
           วัดโยธานิมิตร  สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นวัดประจำเมืองใหม่ ภายในวัดมีอุโบสถ เจดีย์ทรงลังกา มีพระประธานปางมารวิชัยประดิษฐานมาตั้งแต่เริ่มมีการสร้างวัด ส่วนอุโบสถนั้นสร้างใหม่ โดยสร้างครอบหลังเดิมเว้นแต่บานหน้าต่าง ประตูเป็นไม้ยังใช้ของเดิม แต่ส่วนอื่น ๆ นั้นถูกรื้อออกไปทำใหม่หมด
           หากกล่าวถึงค่ายเนินวง ต้องกล่าวถึงสละเนินวงด้วย เพราะมีชื่อเสียงมาก สละเนินวงมีรากเหง้ามาจากกอสละของบ้านผู้ใหญ่บ้านเนินวง ต.บางกะจะ อ.เมือง เมื่อกรมศิลปากรจะขึ้นทะเบียนค่ายเนินวงเป็นโบราณสถานและมีการเวนคืนที่ดิน ผู้ใหญ่อุทัยจึงย้ายมาปลูกลงในดินใกล้กันและบอกขายต้นพันธุ์ด้วยการผ่าตา แยกออกมาเป็นต้นพันธุ์ใหม่ ปรากฎว่าคนมาซื้อกันมากมายจนกระทั่งบัดนี้ เพราะสละที่กลายมาเป็นพันธุ์ใหม่นี้ หวาน หอม ผิดสละทั่วไป
           เมื่อชมค่ายเนินวงแล้ว ก็ต้องมาชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีด้วย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น นอกจากจะเป็นกษัตริย์นักรบที่แกล้วกล้า ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี แห่งการครองราชย์แทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน เช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ครองราชย์เพียง ๑๕ ปีเช่นกัน รบเพื่อชิงความเป็นไทกลับคืนมา รบเพื่อขยายอาณาเขต ขยายพระราชอำนาจออกไป แต่ทั้ง ๒ พระองค์ ก็ยังมีเวลาที่จะไปทำนุบำรุงบ้านเมืองในด้านอื่น ๆ ด้วย และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นเมื่อท่านพาทหาร ๕๐๐ คน หนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยานั้น เพราะทรงเห็นว่าอยู่ไปก็ช่วยรักษากรุงศรีอยุธยาไม่ได้ แม้แต่จะยิงปืนใหญ่ในขณะที่ข้าศึกรุกเข้ามาก็ยังต้องขออนุญาต เมื่อไม่ขอก็ถูกคาดโทษเป็นต้น จึงคิดตีฝ่าออกไปตั้งตัวใหม่ และคงพิจารณาเห็นว่าทางด้านตะวันออกนั้น บ้านเมืองยังมีความสมบูรณ์ ถูกกระทบกระเทือนจากทัพพม่าน้อยที่สุด น่าจะรวบรวมผู้คนได้เร็วกว่า จึงตีฝ่ากองทัพพม่าที่ล้อมกรุงอยู่ออกไป มุ่งไปทางนครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง และมาตั้งทัพรวบรวมผู้คนอยู่ที่จันทบุรี เมื่อสามารถตีได้เมืองจันทบุรี แม้ว่าพม่าจะออกติดตามมาก็ถูกอุบายตีแตกกลับไปทุกครั้ง และเมื่อยึดได้เมืองจันทบุรีแล้วก็ให้ต่อเรือและยังยึดเรือสำเภามาดัดแปลงทำเรือรบ เมื่อสิ้นสุดสงครามกับพม่าแล้วตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ก็ได้นำเรือสำเภามาทำการค้าเกิดเป็นพาณิชย์นาวีขึ้นเป็นครั้งแรก และเจริญสูงสุดในด้านการพาณิชย์นาวีในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงขนาดเรียกขานรัชกาลที่ ๓ ว่า "กษัตริย์เจ้าสัว"
           พิพิธภัณฑ์นี้เก็บรักษาโบราณวัตถุใต้ทะเลไว้นับเป็นจำนวนหมื่นชิ้น จัดแสดงเกี่ยวกับการค้าทางเรือ ข้อมูลเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนข้อมูลการค้นคว้าวิจัยทางโบราณคดีใต้น้ำ
           ความเป็นมา  งานโบราณคดีใต้น้ำภายในประเทศ เริ่มต้นในปี พ.ศ.๒๕๑๗ โดยกองทัพเรือให้ความร่วมมือด้วยการส่งผู้ปฎิบัติการใต้น้ำมาช่วยในการกู้สมบัติ ได้มีการค้นพบเรือโบราณจมอยู่ใต้น้ำกลางทะเลอ่าวไทยจำนวนมากถึง ๒๖ แห่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๓๔ กรมศิลปากรจึงได้เปิดสำนักงานโบราณคดีใต้น้ำขึ้นที่ค่ายเนินวง ขุดค้นหาแหล่งโบราณคดีใต้น้ำทั่วประเทศ มีการฝึกอบรมจนกระทั้งสามารถเปิดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีขึ้นได้ในปี พ.ศ.๒๕๓๔
           ภายในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พาณิชย์นาวี  แบ่งออกเป็น ๖ ห้องคื
               ๑. ห้องจัดแสดงสินค้าและชีวิตชาวเรือ  จัดการแสดงพาณิชย์นาวีโบราณ เส้นทางการเดินเรือท่าเรือโบราณ สร้างเรือสำเภาจำลองแต่มีขนาดเท่าของจริง (เล็กกว่าของเมืองโบราณที่สมุทรปราการ) จำลองสภาพของสินค้า ตลอดจนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในเรือที่มิใช่เป็นเพียงพาหนะ แต่เป็นเสมือนบ้านของพวกเขา มีสินค้าที่บรรทุกเพื่อส่งออกเช่น ไม้สัก เซรามิค เป็นต้น บรรทุกไว้ให้ชม
               ๒. ห้องแนะนำปฎิบัติการโบราณคดีใต้น้ำ  แสดงเรื่องราวเทคนิคการทำงานของโบราณคดีใต้น้ำ จำลองภาพของจริงของแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ วิธีการทำงาน ตลอดจนเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฎิบัติงานจริง
               ๓. ห้องคลังเก็บโบราณวัตถุ  แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโบราณวัตถุ ภายในพิพิธภัณฑ์ ปกติแล้วจะไม่มีการเปิดให้ได้เห็น แต่ที่นี่มีช่องกระจกให้มองเห็นได้
               ๔. ห้องแสดงเรือและชีวิตชาวเรือ  จัดแสดงเรื่องเรือในประเทศไทย ว่ามีเรือชนิดใดบ้าง เรือแบบใด ใช้กันอยู่ในแถบใด แสดงโดยเรือจำลองที่ทำย่อส่วนตามความจริงเพื่อให้ผู้ชมได้รู้จักเรือที่บางชนิดก็อาจจะเคยได้ยินแต่ชื่อ และส่วนตัวของผมเองก็พึ่งทราบคราวนี้ว่า เรือไทยมีถึง ๒๙ ชนิด
              ๕. ห้องของดีเมืองจันทร์  การกล่าวถึงจันทบุรีว่ามีความเป็นมาอย่างไร ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคประวัติศาตร์ที่เมืองจันทบุรี เหตุการณ์สำคัญและเรื่องของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของจันทบุรี การก่อตั้งเมือง มรดกทางธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวและของดีที่มีชื่อเสียงของจันทบุรี
               ๖. ห้องบุคคลสำคัญ  ในห้องนี้จะแสดงถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒ ด้วยฝีมือของทัพโจร ที่ปล้น ฆ่า เผา ทำลายกันเพื่อให้สิ้นชาติไปเลย ให้เห็นเส้นทางเดินทัพ เมื่อคราวมารวมพลที่เมืองจันทบุรี เป็นการเชิดชูพระมหาวีรกรรมของพระองค์


เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นเขื่อนดินกักเก็บน้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย  ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม เริ่มดำเนินการก่อสร้างในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบ
ประวัติ
สืบเนื่องจากปัญหาการเกิดน้ำท่วมในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสักในฤดูน้ำหลาก และขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูร้อน อันเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมถึงการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2532 ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีกด้วย จนกระทั่งวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้เปิดโครงการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสัก ภายหลังการศึกษาความเหมาะสม และผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมแล้ว
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างกว่า 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2542 และทำพิธีปฐมฤกษ์กักเก็บน้ำเขื่อนในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเสด็จมาเป็นองค์ประธาน และในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2541พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามเขื่อนแห่งนี้ว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" อันหมายถึง "เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ "
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงทำพิธีเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
สถานที่ท่องเที่ยว
นอกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะทำการกักเก็บน้ำแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด ลพบุรี ซึ่งทางด้านสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีหลากหลายสถานที่ ดังนี้
1.ฝั่งจังหวัดลพบุรี
- สถานีรถไฟเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อยู่บริเวณทางเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
- อาคารอเนกประสงค์ริมอ่างเก็บน้ำ มีสถานที่ปล่อยปลา และ จุดนั่งชมวิวริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
- พิพิธภัณฑ์ฯ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
- สันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งมีบริการรถลากจูง ชมสันเขื่อนฯ ไป - กลับความยาว 9,720 เมตร
2. ฝั่งจังหวัดสระบุรี
- พระพุทธรัตนมณีมหาบพิตรชลสิทธิ์มงคลชัย (หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก) อยู่บริเวณท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์