วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำไมต้องจัดฟัน

         ฟันมิใช่เพียงแต่ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร หรือช่วยในการออกเสียงพูดให้ชัดเจนเท่านั้น ฟันยังช่วยรักษาโครงสร้างของใบหน้าให้ดูดีน่ามองอีกด้วย ผู้ที่มีฟันเรียงเป็นระเบียบ การสบฟันดี จะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบปะพูดคุยด้วย

        แต่ก็ใช่ว่าจะโชคดีมีฟันที่เรียงเป็นระเบียบสวยงามไปเสียทุกคน บางคนอาจมีความผิดปกติ เช่น ฟันยื่น ฟันซ้อน หรือฟันเก ฟันห่างรวมทั้งการสบฟันที่ยื่นผิดปกติ เหล่านี้สร้างปมด้อยและความอับอายให้แก่เจ้าของมามากนัก ทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างตามมา เช่น
1. ทำให้เสียบุคลิกภาพ และขาดความมั่นใจในตนเอง
2. ทำความละอาดได้ไม่ทั่วถึง ทำให้ฟันผุและเกิดโรคเหงือกได้
3. ทำให้เป็นอุปสรรคในการบดเคี้ยวอาหาร และมีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ
4. ฟันที่ยื่นออกมา มักจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย


         ผู้ที่ประสบกับปัญหาดังกล่าวนะคะ สามารถปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟัน เพื่อทำการแก้ไขให้ดีขึ้น โดยการจัดฟัน มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1. จัดฟันแบบถอดได้ ซึ่งส่วนมากจะทำในเด็ก
2. จัดฟันแบบติดแน่น ซึ่งแบ่งออกเป็น
2.1 แบบติดแน่นโดยติดเครื่องมือทางด้านหน้าของฟัน ซึ่งใช้เครื่องมือที่เป็นโลหะ
2.2 แบบติดแน่นโดยติดเครื่องมือทางด้านหน้าของฟัน ซึ่งใช้เครื่องมือที่เป็นเซรามิคหรือพลาสติก สีเหมือนฟัน
2.3 แบบติดแน่นโดยติดเครื่องมือที่เป็นโลหะทางด้านในของฟัน ซึ่งมองไม่เห็นจากด้านหน้า ทำให้คนอื่นไม่ทราบว่าคุณจัดฟัน

         เรามาดูกันว่าทันตแพทย์มีวิธีในการจัดฟันอย่างไรบ้าง
         ก่อนการติดเครื่องมือจัดฟันทันตแพทย์จะตรวจช่องปาก และสภาพฟัน ในกรณีที่มีฟันผุ ต้องอุดฟันให้เรียบร้อยก่อนรวมทั้งขูดหินปูนเพื่อสุขภาพฟัน และเหงือกที่สมบูรณ์ จากนั้นจึงดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

1. ทันตแพทย์จะให้คุณพิมพ์ปาก และทำการเอกซเรย์ใบหน้าและฟัน เพื่อบันทึกการสบฟันก่อนจัดฟันและตรวจดูลักษณะของรากฟันกระดูกรองรับรากฟัน และลักษณะโครงสร้างใบหน้า
2. ทันตแพทย์าะนัดติดเครื่องมือจัดฟัน พร้อมทั้งแนะนำวิธีการดูแลฟันหลังติดเครื่องมือแล้ว
3. ทันตแพทย์จะนัดเพื่อปรับเครื่องมือจัดฟันให้ฟันค่อย ๆ เคลื่อนเข้าในจุดที่ต้องการเดือนละ 1 ครั้ง
4. ทันตแพทย์จะทำการขูดหินปูน ขัดฟันและเคลือบฟลูออไรด์ทุก 6 เดือน

        หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจัดฟันแล้ว คุณควรดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพฟัน โดยการแปรงฟันหลังอาหารทุกมือ และพบทันตแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพฟันที่ดีและแข็งแรงคงทนถาวร อยู่คู่กับคุณตลอดไป

สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดฟันนั้นแบ่งได้ 3 กรณี ขึ้นอยู่กับแต่ละทันตคลินิกหรือโรงพยาบาลแต่ละแห่ง
- การจัดฟันแบบถอดได้ ราคาประมาณ 4,000 - 6,000 บาท
- การจัดฟันแบบติดแน่นด้านนอกด้วยโลหะ ราคาประมาณ 35,000 - 45,000 บาท
- การจัดฟันแบบติดแน่นด้านนอกด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน ราคาประมาณ 55,000 - 70,000 บาท

       การจัดฟัน แม้จะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่สามารถช่วยทำให้ฟันของคุณดูดีเรียงเป็นระเบียบสวยได้อย่างปลอดภัยเรียกความมั่นใจ และสร้างความประทับใจในรอยยิ้มของคุณตลอดไปค่ะ

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คนคล่องสองภาษาสมองเสื่อมช้าลง

     
 เอเจนซีส์ การเรียนรู้ภาษาที่ 2 ช่วยเพิ่มพลังสมองที่สามารถปกป้องคุณจากโรคอัลไซเมอร์ 
       งานวิจัยชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่าคนที่พูดได้สองภาษาสามารถรับมือความท้าทายทางสมองได้ดีกว่า และยังสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้มากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียว อีกทั้งยังเริ่มต้นอาการสมองเสื่อมช้ากว่า 4-5 ปี
        นักวิจัยที่ค้นพบเรื่องนี้กล่าวว่า การสลับระหว่างสองภาษาเป็นการกระตุ้นกิจกรรในสมอง หรือเท่ากับเป็นการบริหารสมองอย่างต่อเนื่องที่ทำให้คนเรามีสติปัญญาสำรองเพิ่มขึ้น    
        ดร.เอลเลน เบียลีสโตค ผู้นำการวิจัย ชี้ว่าประโยชน์นี้ชัดเจนที่สุดในกลุ่มคนที่เรียนรู้ภาษาที่สองขณะยังเป็นเด็ก    
        กระนั้น งานวิจัยระบุว่าคนที่เรียนรู้ภาษาใหม่ในช่วงอายุ 40-59 ปี ได้รับประโยชน์ในแง่นี้ด้วยเช่นกัน      
        ก่อนหน้านี้ นักภาษาศาสตร์เคยระบุว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ใช้สองภาษาอาจสับสนและไม่สามารถใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งได้ดี    
        แต่การศึกษาล่าสุดได้ผลตรงกันข้าม โดยบ่งชี้ว่าเด็กเหล่านั้นมีทักษะสมองดีกว่า   
        ดร.จูดิธ โครลล์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย ย้ำว่าความสามารถในการใช้สองภาษาดีต่อคนเรา    
        งานศึกษานี้จัดทำขึ้นในมหาวิทยาลัยยอร์กในโทรอนโท ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ 211 คนในแคนาดา โดยครึ่งหนึ่งพูดได้ 2 ภาษา ที่เหลือพูดได้ภาษาเดียว    
        ผู้ป่วยที่พูดได้สองภาษาได้รับการวินิจฉัยว่าสมองเสื่อมช้ากว่าผู้ป่วยที่เหลือเฉลี่ย 4.3 ปี และพบว่ามีอาการสมองเสื่อมเริ่มแรกช้ากว่า 5.1 ปี   
        คนที่พูดสองภาษาจะสลับการใช้ภาษาอย่างง่ายดาย และประดิษฐ์ประดอยคำพูดอย่างต่อเนื่อง เมื่อพูดกับคนอื่น คนเหล่านี้มักเลือกคำหรือวลีจากภาษาที่สามารถถ่ายทอดความคิดของตัวเองได้ชัดเจนที่สุด    
        กระนั้น คนที่ถนัดสองภาษามีความผิดพลาดน้อยมากในการสลับไปใช้อีกภาษาในการคุยกับคู่สนทนาที่พูดได้ภาษาเดียว คนเหล่านี้จึงได้ฝึกปรือการทำภารกิจหลายอย่างพร้อมกันมากขึ้น   
        การพูดได้สองภาษาไม่ได้ป้องกันการโจมตีของโรคอัลไซเมอร์ แต่เมื่อโรคนี้เริ่มการคุกคามอย่างเงียบๆ สมองของคนใช้สองภาษาจะสามารถรับมือได้ดีกว่าและทำให้อาการของอัลไซเมอร์ปรากฏช้าลง    
        ดร.เบียลีสโตคสำทับระหว่างการนำเสนองานวิจัยในที่ประชุมประจำปีของอเมริกัน แอสโซซิเอเชัน ฟอร์ ดิ แอดวานซ์เมนต์ ออฟ ไซนส์ว่า การสลับระหว่างสองภาษาช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนสำคัญที่สุดที่บริหารระบบควบคุมในร่างกายที่ปกติแล้วจะเสื่อมถอยตามวัย   
        งานวิจัยต่อยอด ซึ่งดร.เบียลีสโตคจะเผยแพร่ปลายปีนี้ บ่งชี้ว่าการใช้สองภาษาอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง กระนั้น นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าพลังสมองที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สองภาษาไม่ได้ทำให้คนๆ นั้นฉลาดขึ้นหรือเรียนรู้ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด    
        นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยจากเจเน็ต เวอร์เกอร์ นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบียในแคนาดา ที่ทำการทดสอบกับทารกในสเปนที่เติบโตในบ้านที่พูดสองภาษา และพบว่าเด็กเหล่านี้ไม่มีความสับสนในทั้งสองภาษา แถมเรียนรู้ที่จะมีสมาธิกับสิ่งต่างๆ เร็วขึ้น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์26 กุมภาพันธ์ 2554 15:04 น.


       

บ้านร้อนเกินไป-นอนไม่เพียงพอ ก็เป็นต้นเหตุการระบาด'โรคอ้วน'

เอเจนซี ผลศึกษาจากแดนมักกะโรนีระบุบ้านที่เย็นสบาย และการนอนหลับพักผ่อนเพียงพอตอนกลางคืน อาจช่วยควบคุมการระบาดของโรคอ้วนได้      
        เมื่อทีมนักวิจัยที่นำโดยซิโมนา โบ จากมหาวิทยาลัยตูรินในอิตาลี ติดตามผลผู้ใหญ่วัยกลางคนกว่า 1,000 คนเป็นระยะเวลา 6 ปี สิ่งที่พบคือพฤติกรรมการนอนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคอ้วน โดยทุกชั่วโมงที่นอนหลับจะทำให้แนวโน้มโรคอ้วนลดลง 30%      
        ความเกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นจริงแม้เมื่อพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ระดับการออกกำลังกาย และการดูทีวี ประกอบด้วย      
        รายงานที่เผยแพร่อยู่ในวารสาร อินเตอร์เนชันแนล เจอร์นัล ออฟ โอเบซิตี้ ยังพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ในบ้านที่อุณหภูมิไม่สูงไปกว่า 20 องศาเซลเซียสในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว คนที่อยู่ในบ้านที่อุ่นหรือร้อนกว่านั้นมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นสองเท่า      
        “สาเหตุแฝงของการระบาดของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน อาจรวมถึงการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อุณหภูมิในบ้านสูงขึ้น การดูทีวี การกินอาหารนอกบ้าน การใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้ยาระงับอาการซึมเศร้าหรือยารักษาโรคจิตโบเขียนไว้ในรายงาน      
        ยิ่งออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยเท่าไหร่ แนวโน้มโรคอ้วนยิ่งเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับคนที่กินอาหารที่มีเส้นใยน้อยที่มักมีระดับน้ำตาลในเลือกสูงผิดปกติ   
        เดวิด อัลลิสัน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคอ้วนจากโภชนาการ มหาวิทยาลัยแอละแบมา ในสหรัฐฯ แต่ไม่มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ อธิบายว่าสาเหตุที่อุณหภูมิภายในบ้านมีผลต่อโรคอ้วนคือ ร่างกายคนเราจะเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าเมื่อต้องทำงานเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่คงที่      
        “ไม่ได้หมายความว่าการลดอุณหภูมิภายในบ้านจะทำให้น้ำหนักของคุณลดลง”    
        อัลลิสันเสริมว่า ในทางกลับกัน สิ่งต่างๆ เช่น อุณหภูมิภายในบ้าน ที่ถูกเชื่อมโยงเป็นครั้งแรกกับความเสี่ยงโรคอ้วนในการศึกษาฉบับนี้ และพฤติกรรมการนอนหลับ คือปัจจัยไลฟ์สไตล์ที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อควบคุมน้ำหนักได้      
        การศึกษาในอดีตหลายฉบับเชื่อมโยงน้ำหนักเกินกับการพักผ่อนไม่เพียงพอเรื้อรัง ซึ่งปกติหมายถึงการนอนหลับคืนละไม่ถึง 6 ชั่วโมง      
        ทฤษฎีหนึ่งระบุว่า สาเหตุมาจากผลด้านฮอร์โมนจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือคนที่นอนไม่พออาจกินหรือดื่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงาน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์26 กุมภาพันธ์ 2554 17:22 น.

รัสเซียปล่อยดาวเทียมติดตั้งระบบนำร่องของตัวเองขึ้นสู่วงจรสำเร็จ

 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์26 กุมภาพันธ์ 2554 18:17 น.
เอเอฟพี - รัสเซียส่งดาวเทียมดวงสำคัญ ที่จะใช้สร้างระบบนำร่องของตนเองวันนี้ (26) หลังจากครั้งก่อนประสบความล้มเหลว จนทำให้รัฐบาลเกรมลินสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านอวกาศออกไป 2 คน     
       สำนักงานอวกาศของรัสเซียออกแถลงว่า ดาวเทียมเทคโนโลยีสูง โกลนาสส์-เค เข้าสู่วงโคจรตามเป้าหมายแล้ว หลังถูกส่งขึ้นไปพร้อมกับจรวดโซยุส-2 4 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น จากฐานยิงเปลเซตสก์ ทางภาคเหนือของรัสเซีย     
       สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ด้านอวกาศของกระทรวงกลาโหมแดนหมีขาวว่า ระบบต่างๆ ที่อยู่บนดาวเทียมดวงนี้สามารถทำงานได้เป็นปกติดี     
       การส่งดาวเทียมครั้งนี้ได้รับการจับตาดูอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ด้านอวกาศ และกองทัพของรัสเซีย หลังจากความพยายามครั้งล่าสุด ที่จะนำดาวเทียมโกลนาส 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรล้มเหลว เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา     
       ดาวเทียมทั้ง 3 ดวงดังกล่าวควรจะทำให้ระบบนำร่องของรัสเซีย ที่สร้างขึ้นเอง เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้กองทัพรัสเซียสามารถกำหนดเป้าหมายการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอวกาศได้ อันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันมานานแล้วในประเทศสมาชิกนาโต     
       อย่างไรก็ตาม เกิดความผิดพลาด ซึ่งทำให้จรวดไปไม่ถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ในอวกาศ และดาวเทียมทั้ง 3 ดวงก็ตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในน่านน้ำมลรัฐฮาวาย     
       เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟอย่างมากจนสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านอวกาศออกจากตำแหน่ง 2 คน หลังการพิสูจน์พบว่าความผิดพลาดมาจากการคำนวณเชื้อเพลิงพื้นฐานเท่านั้น    
       ทั้งนี้ ระบบดาวเทียมนำร่องโกลนาสส์เริ่มวิจัยมาตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียต ปี 1976 แต่ก็ถูกระงับไป และมาเริ่มต้นใหม่ในสมัยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน     
       ผู้นำสูงสุดโดยพฤตินัยของรัสเซียคนนี้เคยประกาศไว้ว่า จะติดตั้งระบบอ่านค่าโกลนาสส์ในรถยนต์ทุกคัน ที่ผลิตในรัสเซียภายในปี 2012 และระบุว่าระบบนี้เป็นตัวอย่างของวิธี ที่จะทำให้รัสเซียกลับมาเข้มแข็งทางเทคโนโลยีเหมือนในสมัยสหภาพโซเวียต     
       รัสเซียปฏิเสธที่จะใช้ระบบกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม หรือจีพีเอส ที่พัฒนาในสหรัฐฯ ด้วยเกรงว่ากองทัพรัสเซียอาจไม่สามารถเข้าถึงระบบนี้ได้ ในเวลาสงคราม

ร้านอาหารอังกฤษแหวกไอเดีย ผลิตไอศครีมคั้นจาก"เต้านมแท้"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ว่า ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านโคเวนท์ การ์เด้น"ในกรุงลอนดอน เตรียมจะเสนอเมนูใหม่ให้แก่ลูกค้า คือ ไอศครีมทำจากน้ำนมแท้ของผู้หญิง ไอศครีมถูกเรียกว่า"เบบี้ กาก้า"จะถูกขายในราคา 14 ปอนด์

ไอศครีมดังกล่าวถูกผลิตขึ้นจากน้ำนมผู้หญิงที่บริจาคแลกเงินโดยหญิง 15 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ตอบรับข้อเสนอของร้านอาหารแห่งนี้ที่โฆษณาทางเว็บไซต์ออนไลน์ โดยนายแมทท์ โอ คอนเน่อร์ ผู้ค้นคิดไอเดียดังกล่าว เชื่อว่า ไอศครีมนมผู้หญิงจะประสบความสำเร็จ และว่า ระบุว่า หากน้ำนมดีกับเด็ก มันก็จะต้องดีพอกับทุก ๆ คนด้วย

นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า ทุกคนอาจร้องยี้ แต่จริงๆ  แล้ว ไอศครีมสูตรนี้ถือว่า บริสุทธิ์และมาจากธรรมชาติล้วนๆ 

ด้านผู้บริจาคน้ำนมแจกเงินรายหนึ่งระบุว่า เธอได้เงิน 15 ดอลลาร์แลกกับการบริจาคน้ำนม 10 ออนซ์ ระบุว่า เธอคิดว่ามันไม่ใช่แค่เสียหายอะไรหากเธอจะขายน้ำนมตัวเองแลกกับเงินพิเศษ 
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 15:30:04 น
มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์



            ภาพจากสถานีโทรทัศน์ได้แสดงให้เห็นพนักงานที่วิ่งหนีออกมาจากสำนักงานด้วยความตื่นตระหนก หลังเกิดแผ่นดินไหว ที่สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ ระบุว่า เกิดขึ้นเมื่อเวลาเที่ยงคืน 51 นาที ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 06.51 น. ตามเวลาในไทย และมีศูนย์กลางการเกิดลึกลงไปเพียง 4 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองไครส์ต์เชิร์ช เพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น
 สนามบินไครส์ต์เชิร์ช ได้ปิดให้บริการ และได้มีการอพยพประชาชน บริเวณส่วนหน้าของอาคารหลายแห่งที่เปราะบางอยู่แล้ว หลังเผชิญแผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริคเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายนได้พังถล่ม คอนกรีตและก้อนอิฐร่วงลงไปกองอยู่บนถนน ทางเท้าเต็มไปด้วยรอยแยก ถนนหักงอ ตอนที่แรกสั่นสะเทือนทำให้แผ่นดินแยกออก มีคนติดอยู่ในอาคารที่พังเสียหาย ประชาชนหลายร้อยคนยังอยู่สภาพมึนงง หลายคนกรีดร้องและร้องไห้ท่ามกลางเสียงไซเรนดังสนั่นไปทั่วเมือง รถยนต์หลายคันถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
 ล่าสุดมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และอาคารพังถล่มทั่วเมือง โรงพยาบาลในพื้นที่ต้องเร่งอพยพผู้ป่วย ไฟฟ้าและโทรศัพท์ใช้การไม่ได้ ท่อประปาแตก ถนนหลายสายเต็มไปด้วยน้ำ ด้านนายกรัฐมนตรีจอห์น คีย์ แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า รายละเอียดยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากรายงานที่ได้รับยังไม่ได้รับการยืนยัน นายบ๊อบ พาร์คเกอร์ นายกเทศมนตรีเมืองไครส์ต์เชิร์ชเปิดเผยว่า เขาอยู่ที่ชั้นบนของอาคารสภาเทศบาลเมืองไครชส์เชิร์ช ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว และเหวี่ยงเขาไปฝั่งตรงข้ามของห้อง เขารีบวิ่งออกไปที่ถนน และเห็นภาพเหตุการณ์ที่สับสนอลหม่าน ด้านสถานีวิทยุของนิวซีแลนด์ รายงานว่า โบสถ์แห่งหนึ่งถล่มลงมา
 นายกรัฐมนตรีคีย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เพราะแผ่นดินไหวได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการทำงาน มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งพนักงานสำนักงาน นักเรียนตามโรงเรียน เป็นเรื่องเศร้าที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มีความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
            ไครส์ต์เชิร์ช มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3 แสน 5 หมื่นคน และได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและเป็นประตูไปสู่เกาะใต้ แต่นิวซีแลนด์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า " วงแหวนแห่งไฟ " อันเป็นแนวโค้งของภูเขาไฟและแผ่นดินไหว ที่กินอาณาเขตจากชิลีในอเมริกาใต้ ผ่านรัฐอลาสก้าของสหรัฐ ไปจนถึงแปซิฟิกใต้ ซึ่งสามารถบันทึกการเกิดแผ่นดินไหวได้กว่าปีละ 14,000 ครั้ง แต่มีเพียง 150 ครั้ง ที่ประชาชนในพื้นที่สามารถรับความรู้สึกได้ และมีไม่ถึง 10 ครั้งต่อปี ที่สร้างความเสียหาย ส่วนการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว สร้างความเสียหายราว 4 พันล้านดอลล่าร์นิวซีแลนด์ หรือราว 9 หมื่นล้านบาท ตามด้วยอาฟเตอร์ช็อคในเดือนธันวาคม ที่สร้างความเสียหายเพิ่ม และเมืองไครส์ต์เชิร์ช ยังคงอยู่ระหว่างการบูรณะซ่อมแซมจากความเสียหายในครั้งนั้น

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความหวังพ่อแม่

มารดาบิดาหวังฐานะ 5 อย่าง จึงปรารถณามีบุตร คือ

1. บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยงเราตอบ
2. จักทำกิจธุระของเรา
3. จักดำรงค์สกุลของเรา
4. จักรับทรัพย์มรดกของเรา
5. เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว จักทำบุญอุทิศให้เรา

                 เพราะฉะนั้น บุตรผู้เป็นคนดี ผู้สงบ มีความกตัญญูกตเวที เมื่อระลึกได้ถึงบุรพคุณของมารดาบิดาแล้ว จงเลี้ยงดูมารดาบิดา ทำกิจของท่าน เชื่อฟังโอวาท เลี้ยงสนองพระคุณอย่างที่บุพการี เคยทำมา ไม่ทำให้สกุลให้เสื่อมเสีย บุตรผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล
ย่อมเป็นที่สรรเสริญของคนทั่วไป ล่วงลับไปแล้วย่อมได้สุคติ.
เลี้ยงทั้งกายและใจ

                 เป็นความเข้าใจผิดอย่างมากของบุตรธิดาบางพวก ที่อ้างว่าตนได้เลี้ยงมารดาบิดาแล้วด้วยการมอบเงินให้ท่านใช้ และปัจจัย 4 อย่างสมบูรณ์ และแล้วไม่ต้องเอาอกเอาใจอะไรท่านอีก นั่นเป็นการเลี้ยงภายนอกเท่านั้น ยังมิได้หล่อเลี้ยงน้ำใจท่านเลย การเลี้ยงมารดาบิดาในทางที่ถูกนั้น เพราะฉะนั้น บุตรธิดา จึงควรตอบแทนท่านในทำนองเดียวกันกับที่ท่านเลี้ยงเรามา จึงจะเหมาะสมด้วยเหตุผล.


คติชีวิต……วศิน อินทสระ

สำหรับคนที่กำลังท้อ

เมื่อมีทุกข์หรือพบปัญหาและอุปสรรคในชีวิต หากมีความอดทน เข้มแข็งพอจะสามารถเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี และจะพบกับความสุขของชีวิต ฉะนั้นจึงไม่ควรท้อแท้ หมดกำลังใจหรือล้มเลิกความตั้งใจ ขอให้มีความอดทนมานะพยายาม และต่อสู้ไปให้ถึงที่สุด
" ต้นไม้ต้นหญ้า บางเบากว่าชีวิตมนุษย์มากนัก แต่ยังสู้และเบียดเสียดแทรกจากหินผาแล้วจงต่อสู้กับตนเอง เช่น ต้นไม้ ต้นหญ้า ต้นเล็กที่เบียดแทรกออกจากซอกแตกของร่องหิน จงพยายามที่จะอยู่รอดและดิ้นรนเพื่อตนเอง เพื่อชิวิตที่ดีกว่าและเพื่อความไม่ทุกข์อันเป็นเป้าหมายของการดำรงชีวิตอย่างมี ความสุข"
" ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ มนุษย์เลือกที่จะเกิดบนความพร้อมทุกสิ่งไม่ได้
แต่ มนุษย์เลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ต้องการได้ .... ด้วยตนเอง"
มีปราชญ์กล่าวไว้ว่า
"ชีวิตเป็นตำราเล่มใหญ่ที่สุด หนาที่สุด มีชีวิตสั้นที่สุด น่าประทับใจที่สุด ดูคล้ายจะอ่านง่าย แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นตำราที่เข้าใจยากที่สุด น่าประทับใจที่สุด ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ แม้จะเกิดมาบนความไม่พร้อม แต่หากรู้จักใช้ชีวิตและมีความพร้อมขยันหมั่นเพียร ก็จะสามารถผลักดันตนเอง ให้เดินไปในทางที่จะนำชีวิตสู่ความก้าวหน้า มีความสุข และประสบความสำเร็จได้ "
ที่นี่และเดี๋ยวนี้
"ไม่มีอะไรน่าเสียใจเลยสักนิด กับชิวิตเมื่อวานนี้ ไม่มีอะไรน่ากังวลใจเลยสักนิด กับชิวิตที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้จะมีแต่ความทุกข์ใจ หากไม่คิดที่จะทำในวันนี้ และจะมีแต่ความเศร้าใจหากไม่เปลี่ยนแปลงตนเองตั้งแต่วันนี้ จงจัดการกับปัจจุบันให้ดีไว้เถิด แล้วอนาคตก็ปล่อยให้มันดูแลตัวของมันเอง "
ไม่ประมาท
"ความแตกต่างระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะคือ ผู้ชนะจะใช้เวลาที่มีอยู่ตรงกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต โดยไม่ประมาท ไม่ใส่ใจกับอดีตและมิได้มุ่งหวังเวลาในอนาคต แต่ผู้แพ้นั้นมัวแต่วนเวียนเพ้อฝันกับความคิดว่า สักวันหนึ่งฉันจะเป็นและเป็นอยู่อย่างประมาท ซ้ำยังมัวแต่พะว้าพะวงกับอนาคตอาลัยอาวรณ์กับอดีตโดยมิได้ลงมือทำสิ่งใด ดังนั้นจงอย่าเสียเวลาแม้เพียงนิด กับ ความประมาทในชีวิตเลย"
มีพุทธภาษิตที่ว่า "ใครประมาทก็ช่างเขา เราอย่าประมาท ใครจะหลับใหลก็ช่างเขาเราอย่าหลับใหล จงตื่นตัวก้าวไปข้างหน้า ประดุจม้าฝีเท้าดีวิ่งขึ้นหน้าฝีเท้าเลวฉันนั้น เป็นภาษิตเตือนใจมิให้ประมาทและมุ่งมั่นในการนำชีวิตของตนเองสู่ความสำเร็จ ดังนั้นให้ทบทวนชึวิตของตนเองที่ได้ดำเนินมาตลอดวัน ว่ามีสิ่งใดที่ยังต้องแก้ไขปรับปรุง"
ความพ่ายแพ้
"ความพ่ายแพ้และอุปสรรคอาจบั่นทอนกำลังใจไปบ้าง แต่ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะพบกับความสำเร็จ โดยไม่เคยพ่ายแพ้ และไม่เคยพบอุปสรรคมาก่อน" อุปสรรคจะเล็กน้อยหรือจะใหญ่จะโต ขึ้นอยู่กับจิตใจนั้นคิดใหญ่หรือใจที่คิดเล็ก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามปัญหาและอุปสรรคย่อยเกิดขึ้นเสมอ หากไม่ท้อแท้หรือยอมแพ้ก็จะมีโอกาสกลับมาประสบความสำเร็จใหม่

เมื่อไหร่ที่เราท้อให้ลองมองคนรอบข้างดูแล้วคุณจะรู้ว่า ยังมีคนอีกมากมายที่คอยเป็นกำลังใจให้คุณอยู่

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง

วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ
เพราะ ระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา
พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ สมใจค่ะ

 วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ
พยายาม จ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า
ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิด ท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง
เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้นเก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ
ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ
พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

 1. คนทุกคนย่อมต้องการให้ผู้อื่นคล้อยตามบ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างเช่นในเวลารับฟังการประชุมหรืออภิปราย เราได้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นโดยไม่มีอคติเสียก่อน หรือว่าแสดงความไม่เห็นด้วยเสียก่อน สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้การทำงานร่วมกันราบรื่นไปได้ด้วยดีแล้ว ยังช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพและมนุษย์สัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นอีกด้วย 

 2. ต้องรู้จักที่จะแก้ไขข้อขัดแย้งกันบ้าง มีการปรับความเข้าใจกันอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้มีความขัดแย้งในเรื่องความสัมพันธ์กันไปตลอดเวลา

 3. รู้จักที่จะสนใจคนอื่นบ้าง ทุกคนต้องการที่จะให้คนอื่นสนใจ เราจึงควรแสดงออกถึงการให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นบ้าง แม้ว่าบางครั้งการกระทำนั้นจะไม่มีความหมายอะไรเลย

 4. อารมณ์จะต้องไม่ขัดกัน หาทางปรับความเข้าใจกัน มีความกลมกลืนกันไปได้

 5. ให้รู้จักคิดกันในเรื่องง่ายๆ อย่าคิดลึกซึ้งนักในการที่จะเข้ากับผู้อื่น คิดง่ายๆ ตรงไปตรงมา

 6. ต้องคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เพื่อไม่ให้มีการผิดพลาด และกระทบกระทั่งกันจนต้องมีการขอโทษในภายหลัง

 7. อย่าลืมว่าทุกคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทุกคนพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้ในสิ่งต่างๆ ที่เขาต้องการ เขาอาจจะต้องนึกถึงตัวเองก่อนเสมอ จึงควรมีความเข้าใจในผู้อื่น

 8. หาจุดสนใจกัน หาจุดที่มีความสนใจร่วมกัน และในการคุยควรจะตั้งต้นพูดเรื่องอะไรอย่างไร

 9. อุดมคติต้องไม่ขัดกัน มีความเห็นพ้องต้องกันในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกันเสมอ

 มนุษย์จะอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้หากมัวนึกถึงแต่ เราโดยไม่นึกถึง เขาเลย การที่จะรู้จักความต้องการของผู้อื่นไว้บ้าง  ก็ย่อมจะนำไปสู่ความเข้าใจอันดีระหว่างกัน

พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลใน เลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมอง เสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศ ที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมอง ลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

การบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จในชีวิต

เวลา แม้จะมีอยู่เท่ากันในแต่ละวัน คือวันละ 24 ชั่วโมง และเราแต่ละคนก็ได้รับมันมาเท่าๆ กันทุกวัน แต่บางวันก็ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านเราไปโดยไม่ได้ก่อให้เกิดผลงานอะไรขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย หลาย ๆ ครั้งกว่าจะรู้ตัวว่าเรากำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ทำได้แค่เสียดายเพราะไม่สามารถเรียกเวลากลับคืนมาได้อีก  ถึงแม้ว่าเราจะได้เวลามาเปล่าๆ วันละ 24 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ใช้มันให้คุ้มค่าก็เท่ากับว่าเรากำลังทำชีวิตให้สูญเปล่าไปเป็นปริมาณเท่ากับเวลาที่สูญเสียไป
มีข้อคิดดีๆ 20 ข้อ มาฝากทุกท่าน เพื่อให้ท่านได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง และจะได้บริหารเวลาให้เอื้อต่อการประสบความสำเร็จในชีวิต 
ลองมาวิเคราะห์ตัวเราเองกันดีกว่าว่า ข้อไหนที่เราทำได้, ทำแล้ว, ทำไม่ได้, หรือยังไม่ได้ทำ
20 ข้อคิดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จในชีวิต
1.     วางแผนการทำงานเป็นระยะปี เดือน สัปดาห์ และ วัน โดยเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยจะต้องแน่ใจว่าจะได้สิ่งที่ต้องการเพื่อการทำงานและชีวิตของท่าน
2.  ทำกิจกรรมต่างๆ ตามแผนงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3.  ตั้งวัตถุประสงค์อย่างน้อยหนึ่งข้อ และทำให้สำเร็จในแต่ละวัน
4.   บันทึกเวลาการทำงานหรือกิจกรรม เพื่อประเมินว่าท่านใช้เวลาได้ผลดีหรือไม่ ที่สำคัญท่านจะต้องขจัดนิสัยที่ทำให้ตัวเองเสียเวลาออกไปให้ได้
5.  ให้วิเคราะห์ก่อนที่ท่านจะทำสิ่งใดว่า ต่อไปนี้ท่านจะทำอะไร ควรทำตอนนี้หรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงต้องทำสิ่งนี้ ถามตัวเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านละเลยที่จะทำสิ่งนั้น ถ้าคำตอบคือ ไม่ ก็จงเลิกทำเรื่องนั้น
6.  กำจัดสิ่งที่ทำให้ท่านเสียเวลาต่อชีวิต อย่างน้อยหนึ่งเรื่องต่อสัปดาห์
7.  วางแผนการใช้เวลา ทำแผนงานทุกสัปดาห์ ถามตัวเองว่า ท่านหวังจะประสบความสำเร็จอะไรบ้างเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ และท่านต้องการอะไรที่จะทำให้ได้ผลดังกล่าว
8.  ทำรายการของงานที่จะทำทุกวัน โดยไม่ลืมวัตถุประสงค์ เรื่องที่สำคัญต้องทำก่อนหลัง ประมาณระยะเวลา และไม่ทำงานด้วยการสุ่ม
9. กำหนดการทำงานทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านสามารถบรรลุสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน ควรให้มีเวลาเหลือบ้างในการทำแต่ละกิจกรรม อย่าให้ตึงเกินไป ต้องระลึกไว้เสมอว่า การกำหนดการทำงานย่อมให้ผลดีกว่าเรื่องที่ขาดการวางแผน
10. ท่านต้องมั่นใจว่า งานชิ้นแรกของวันต้องประสบผลสำเร็จ
11. การทำงานทุกชิ้นควรกำหนดการใช้เวลาไว้
12. ทำงานให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่ม จะได้ไม่เสียเวลาทำซ้ำ
13. ขจัดเรื่องวิกฤติออกจากชีวิต ค้นหาว่าอะไรที่ทำให้ท่านทำผิดพลาด ท่านต้องทำงานในลักษณะรุก ไม่ใช่รับ
14. จัดเวลาว่างไว้วันละ 1 ชั่วโมง เพื่อทำงานสำคัญโดยไม่ให้มีคนรบกวน
15. ฝึกการทำงานให้เสร็จเป็นเรื่องๆ มิใช่กระโดดไปกระโดดมา จะทำให้ไม่มีงานใดเสร็จลง
16.จงอย่างผัดวันประกันพรุ่ง ฝึกการลงมือทำทันที
17. ทำงานตามที่กำหนดไว้ อย่าทำงานที่ไม่ได้กำหนด หมั่นทบทวนกิจกรรมที่ดำเนินการอยู่
18. จงใช้เวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่าการทำในเรื่องที่มีประโยชน์น้อยกว่า
19. จัดสรรเวลาสำหรับตัวเอง เพื่อคิดเพื่อฝัน พักผ่อนหย่อนใจ และเพื่อชีวิต
20.พัฒนาปรัชญาการใช้เวลาว่า เวลาใดให้คุณค่า และความสัมพันธ์กับชีวิตตนอย่างไร

ทรัพยากรดินและการใช้ที่ดิน

  "ทรัพยากรที่ดิน" เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในการดำรงชีพของมนุษย์ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ต้องใช้ที่ดินเป็นปัจจัยหลักการเพิ่มขึ้นของประชากร ประกอบกับความต้องการใช้ที่ดิน เพื่อใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจสาขาอื่นก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น เช่น การพัฒนาเมือง เขตอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้ประโยชน์ที่ดิน คือ การนำพื้นที่เหมาะสมทางการเกษตรมาใช้ในการขยายเมือง การนำพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเกษตรมาใช้ในการเกษตร การใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเกษตรกร ชุมชนและประเทศชาติ ปัญหาของทรัพยากรดินและการใช้ที่ดินจึงแยกได้ 2 ประการคือ ปัญหาความเสื่อมโทรมของดินและปัญหาการใช้ที่ดิน         
 สถานการณ์ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน 
            ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน มีสาเหตุทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและเกิดจากการใช้ที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตัวอย่างของปัญหา เช่น การชะล้างพังทลายของดิน ดินขาดอินทรีย์ และปัญหาที่เกิดจากสภาพธรรมชาติของดินร่วมกับการกระทำของมนุษย์ เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินอินทรีย์ (พรุ) ดินทรายจัด และดินตื้น พื้นที่ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมของประเทศไทย ได้แก่ การชะล้างพังทลายของดิน 108.87 ล้านไร่ พื้นที่ที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินมากที่สุดคือ ภาคเหนือ ดินขาดอินทรียวัตถุ 98.70 ล้านไร่ ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุประมาณร้อยละ 77 อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม 209.84 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนดินเค็ม ดินกรดและดินค่อนข้างเป็นทราย อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ถูกต้องตามศักยภาพ คิดเป็นพื้นที่ 35.60 ล้านไร่
   การใช้ที่ดิน
        การใช้ที่ดินนั้นไม่คงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กรมพัฒนาที่ดินได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินของประเทศไทยโดยการแปลภาพถ่ายทางอากาศ และข้อมูลดาวเทียม และการตรวจสอบในสนาม ในปี พ.ศ. 2523 2529 2541 และ 2544 พบว่าในขณะที่พื้นที่ป่าไม้ลดลง พื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 8 เท่าตัวจาก พ.ศ. 2523 อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2529-พ.ศ. 2541 พื้นที่นาได้ลดลงประมาณ 3.5 ล้านไร่ พื้นที่นาที่ลดลงนั้นถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย สนามกอล์ฟ รีสอร์ท หรือที่พักผ่อนหย่อนใจจำนวนมาก แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2544 พื้นที่นาได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 ล้านไร่ เนื่องจากหลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ได้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับสู่ภาคเกษตรมากขึ้น